หัวใจวาย (Heart Failure)
คือภาวะที่กล้ามเนื้อหัวใจสูญเสียการทำงานจนไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้ เกิดได้ในคนทุกวัย แต่มักจะพบบ่อยในคนสูงอายุ โดยเฉพาะในเพศชาย หัวใจวายเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นหลอดเลือดหัวใจตีบ และความดันโลหิตสูงจนทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอลง เป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ แต่สามารถดูแลรักษาควบคุมไม่ให้อาการทรุดลงไปได้นาน
ภาวะหัวใจวายแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ
-
หัวใจวายชนิดที่การบีบตัวผิดปกติ (Systolic Heart Failure)
เป็นอาการหัวใจวายที่ทำให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายได้ดีเท่าที่ควร
-
หัวใจวายชนิดที่การคลายตัวผิดปกติ (Diastolic Heart Failure)
อาการหัวใจวายที่ทำให้หัวใจไม่คลายตัว เป็นเหตุให้เลือดไหลเวียนเข้าสู่หัวใจน้อยลง
หัวใจวายเป็นปัญหาสุขภาพระยะยาวที่ต้องมีการควบคุมและติดตามอาการอย่างใกล้ชิด เพราะสามารถกลับมากำเริบได้ อีกทั้งยังอาจนำไปสู่โรคอื่น ๆ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง
อาการหัวใจวาย
เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจทำงานลดลงเนื่องจากความอ่อนแอหรือการเสื่อมสภาพ ระบบไหลเวียนของเลือดก็จะผิดปกติ เป็นเหตุให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนนำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย อาการที่มักพบได้แก่
-
หายใจลำบาก
ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจสั้น และหายใจไม่สะดวก โดยเฉพาะหลังจากการทำกิจกรรมต่าง ๆ หากอยู่ในขั้นรุนแรงก็อาจเป็นในระหว่างที่พักด้วย จะยิ่งหนักขึ้นเมื่อผู้ป่วยนอนราบ ซึ่งอาจนำมาสู่การสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะหายใจไม่ออก
-
อ่อนเพลีย
ผู้ป่วยอาจมีอาการเหนื่อยเกือบตลอดเวลา และอาจเป็นลมได้หากออกกำลังกาย
-
ขาและข้อเท้าบวม
เกิดจากการบวมน้ำ โดยจะมีอาการบวมเกือบตลอดทั้งวัน ยกเว้นในเวลาช่วงเช้าที่จะไม่รุนแรงมากนัก
นอกจากนี้ยังมีอาการอื่น ๆ ที่อาจพบในผู้ป่วยภาวะหัวใจวายได้ เช่น
- อาการไอเรื้อรัง และจะไออย่างรุนแรงในเวลากลางคืน
- หายใจแล้วมีเสียง
- ท้องอืด
- ความอยากอาหารลดลง
- น้ำหนักขึ้นหรือลดผิดปกติ
- มีอาการมึนงง
- วิงเวียนศีรษะ เป็นลม
- หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
- ใจสั่น จากการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ
ผู้ป่วยบางรายอาจมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิตร่วมด้วย เช่น อารมณ์ซึมเศร้า หรือวิตกกังวล ซึ่งหากมีอาการข้างต้นขึ้นควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียด ทั้งนี้หากผู้เกิดอาการที่ผิดปกติ เช่น
- เจ็บหน้าอก
- เป็นลม หรือมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่ค่อนข้างหนัก
- หัวใจเต้นเร็ว หรือเต้นผิดจังหวะร่วมกับอาการหายใจสั้น เจ็บหน้าอก เป็นลม
- ไอออกมาเป็นเสมหะที่มีสีออกชมพู
ควรเรียกหน่วยแพทย์ฉุกเฉินโดยด่วนที่สุด เพราะอาจเป็นอาการหัวใจวายขั้นรุนแรงที่หากรักษาไม่ทันก็อาจเสียชีวิตได้
สาเหตุของหัวใจวาย
หัวใจวายเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ และไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นจากสาเหตุเดียวเสมอไป โดยมักมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพดังต่อไปนี้
-
โรคหลอดเลือดหัวใจ
การอุดตันของหลอดเลือด เป็นสาเหตุให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และหัวใจวายได้
-
ความดันโลหิตสูง
ทำให้เกิดแรงดันที่หัวใจมากขึ้น หากติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ ก็จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจสูญเสียการทำงาน เป็นสาเหตุของหัวใจวาย
-
โรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ
(Cardiomyopathy)
คือสาเหตุโดยตรงที่ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้ไม่เต็มที่
-
การเต้นของหัวใจผิดจังหวะ (Arrhythmias)
เช่น ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพริ้ว (Atrial Fibrillation) ซึ่งทำให้การเต้นของหัวใจแปรปรวน
-
ปัญหาที่ลิ้นหัวใจ
ความเสียหายของลิ้นหัวใจหรือปัญหาอื่น ๆ ที่เกิดบริเวณลิ้นหัวใจ ส่งผลให้การทำงานของหัวใจลดลง
-
หัวใจพิการโดยกำเนิด (Congenital Heart Disease)
ความพิการโดยกำเนิดของหัวใจที่ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ และมีปัจจัยอื่น ๆ กระตุ้นให้เกิดหัวใจวายได้ง่ายขึ้น เช่น โรคโลหิตจาง การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินไป ไทรอยด์เป็นพิษ และความดันภายในปอดสูง เป็นต้น
ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ป่วยอาจเกิดหัวใจวายได้หากมีปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เหล่านี้
-
โรคเบาหวาน
ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นจะทำให้ความเสี่ยงโรคความดันโลหิตและโรคหลอดเลือดหัวใจสูงขึ้น
-
การใช้ยาบางชนิด
ได้แก่ ยารักษาอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ ยาไพโอกลิตาโซน (Pioglitazone) ซึ่งเป็นยารักษาโรคเบาหวาน ยารักษาโรคมะเร็ง ยาแก้ปวดชนิดเอ็นเสด (NSAIDs) ยารักษาโรคปอด ยาฆ่าเชื้อ ยาเหล่านี้อาจไปกระตุ้นให้เกิดความเสี่ยงหัวใจวายได้
-
การหยุดหายใจระหว่างนอนหลับ
ส่งผลให้ระดับออกซิเจนในเลือดต่ำลง และเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ อันเป็นหนึ่งในสาเหตุของหัวใจวาย
-
การติดเชื้อไวรัส
เชื้อไวรัสบางชนิดอาจส่งผลรุนแรงให้กล้ามเนื้อหัวใจเกิดตวามเสียหายได้
-
การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
ทำให้กล้ามหัวใจอ่อนแอลง และเพิ่มความเสี่ยงหัวใจวาย
-
โรคอ้วน
ยิ่งมีน้ำหนักตัวมากก็ยิ่งเสี่ยงต่อหัวใจวาย
การวินิจฉัยภาวะหัวใจวาย
หัวใจวาย แบ่งออกได้เป็น 4 ระยะดังนี้
-
ระยะที่ 1
จะไม่มีอาการใด ๆ แสดงขณะที่ทำกิจกรรมหรือในอิริยาบถต่าง ๆ
-
ระยะที่ 2
ขณะพักจะไม่มีอาการใด ๆ แต่เมื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ จะมีอาการของหัวใจวายเกิดขึ้น
-
ระยะที่ 3
ไม่มีอาการใด ๆ ขณะพัก แต่หากทำกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็จะมีอาการเกิดขึ้น
-
ระยะที่ 4
มีอาการกำเริบแม้ในขณะที่พัก และไม่สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้
เบื้องต้น ผู้ป่วยสามารถสังเกตอาการได้ด้วยตนเอง โดยหากรู้สึกเหนื่อยง่าย หายใจสั้น หรือมีอาการบวมที่ขาและข้อเท้า ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจอย่างละเอียด ซึ่งแพทย์จะทำการซักประวัติในการรักษา รวมทั้งอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย และหากสงสัยว่าจะเป็นภาวะหัวใจวายก็จะทำการสั่งตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อยืนยันผล ได้แก่
-
การตรวจเลือด
แพทย์จะนำตัวอย่างเลือดที่ได้จากผู้ป่วยไปตรวจดูการทำงานของระบบต่าง ๆ เช่น ตับ ไต และไทรอยด์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาวะหัวใจวาย นอกจากนี้ยังอาจมีการตรวจระดับสารเคมีในเลือด (N-terminal pro-B-type Natriuretic Peptide: NT-proBNP) ที่ช่วยในการระบุภาวะหัวใจวายได้ง่ายขึ้น
-
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (
Electrocardiogram: ECG
)
เป็นการตรวจโดยบันทึกการทำงานของกระแสไฟฟ้าภายในหัวใจ โดยติดเครื่องมือที่ใช้บริเวณหน้าอก
-
การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiogram)
เป็นวิธีการตรวจหาภาวะหัวใจวายที่นิยมใช้มากที่สุด เนื่องจากได้ผลค่อนข้างชัดเจน โดยแพทย์จะใช้อุปกรณ์พิเศษปล่อยคลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อดูขนาด และความสามารถของหัวใจ (The Ejection Fraction: EF) ทำให้ทราบประสิทธิภาพในการทำงานของหัวใจ การสูบฉีดเลือด รวมถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับหัวใจ
-
เอกซเรย์ทรวงอก
จะช่วยให้เห็นลักษณะของปอดและหัวใจว่ามีความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับหัวใจวายหรือไม่
-
ตรวจการหายใจ
ในกรณีที่สงสัยว่าอาจเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ แพทย์จะให้ผู้ป่วยเป่าเข้าไปในอุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายท่อ จากนั้นเครื่องจะแสดงผลออกมาให้แพทย์ทราบว่าผู้ป่วยมีการหายใจผิดปกติหรือไม่
-
การสวนหลอดเลือดหัวใจ (Cardiac Catheterization)
ผ่านทางข้อพับและขาหนีบ เป็นวิธีที่แพทย์ใช้เพื่อระบุโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
-
การตรวจชิ้นกล้ามเนื้อหัวใจ (Myocardial Biopsy)
เป็นการตรวจด้วยการสอดกล้องขนาดเล็กติดอุปกรณ์เพื่อเก็บตัวอย่างกล้ามเนื้อหัวใจไปตรวจ ซึ่งจะช่วยในการระบุโรคที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อหัวใจอันเป็นสาเหตุของหัวใจวายได้
ทั้งนี้ผลการตรวจจะสามารถยืนยันได้ว่าผู้ป่วยเป็นโรคเกี่ยวระบบหัวใจและหลอดเลือด อยู่ในภาวะหัวใจวายหรือไม่ และอยู่ในระยะใด จากนั้นแพทย์ก็จะใช้ผลดังกล่าวประกอบในการวางแผนการรักษา
การรักษาหัวใจวาย
หัวใจวายเป็นภาวะที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการ และป้องกันไม่ให้รุนแรงมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันมีการรักษามากมายหลายวิธีที่จะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ต้องทำควบคู่กับการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต เพราะจะช่วยให้อาการหัวใจวายทุเลาลงได้ส่วนหนึ่ง อีกทั้งยังลดความเสี่ยงต่ออาการที่ร้ายแรงมากขึ้น โดยผู้ป่วยควรปฏิบัติดังนี้
- เลิกสูบบุหรี่
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสชาติเค็มจัด
- ควบคุมปริมาณการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เหมาะสม
- ออกกำลังกายเป็นประจำเท่าที่สามารถ
นอกจากนี้ยังมีวิธีการรักษาที่แพทย์นิยมเลือกใช้เป็นตัวเลือกต้น ๆ ได้แก่
การใช้ยา
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ต้องใช้ยาในการรักษาอาการ และอาจใช้ยาหลาย ๆ ตัวร่วมกันเพื่อควบคุมอาการและลดความเสี่ยง ซึ่งยาที่แพทย์มักสั่งจ่ายให้ผู้ป่วย ได้แก่
-
เอซีอีอินฮิบิเตอร์ (ACE Inhibitors)
เป็นยาลดความดันโลหิต ที่มีฤทธิ์ช่วยลดความดันในหลอดเลือด แต่มีผลข้างเคียงที่อาจทำให้เกิดอาการไอแห้งเนื่องจากการระคายเคืองคอ และความดันโลหิตต่ำลง จึงจำเป็นต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
-
ยาปิดกั้นการทำงานของแองกิโอเทนซิน รีเซฟเตอร์ (Angiotensin Receptor Blockers: ARBs)
เป็นยาที่มีคุณสมบัติคล้ายยาเอซีอีอินฮิบิเตอร์ โดยทั่วไปจะใช้ก็ต่อเมื่อยาข้างต้นใช้ไม่ได้ผล หรือได้ผลไม่เป็นที่น่าพึงพอใจ ยานี้ส่งผลให้ความดันโลหิตลดลง และอาจกระทบต่อระดับโพแทสเซียมในร่างกายได้อีกด้วย ดังนั้นหากมีการใช้ยานี้จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
-
ยาปิดกั้นการทำงานของเบต้า
(Beta-Blockers)
ช่วยชะลอการทำงานของหัวใจ และลดความดันโลหิต รวมทั้งป้องกันผลกระทบจากการที่ร่างกายหลั่งสารอะดรีนาลีนและนอร์อะดรีนาลีนออกมาจากร่างกาย ยานี้อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น วิงเวียนศีรษะ อาการเหนื่อย หรือมองไม่ชัดได้
-
ยาลดการบีบตัวของหัวใจ (Hydralazine with Nitrate)
อาจใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถใช้ยาเอซีอีอินฮิบิเตอร์ได้ ซึ่งจะต้องใช้ภายใต้คำสั่งของแพทย์เท่านั้น
-
ยาขับปัสสาวะ (Diuretics)
ใช้เพื่อขับน้ำส่วนเกินในร่างกาย และระบายของเหลวออกจากปอดทำให้หายใจได้สะดวกขึ้น
-
ยาไดจอกซิน (Digoxin)
ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของการบีบตัวของหัวใจ และช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ สามารถใช้ร่วมกับยาชนิดอื่นได้ แต่มีผลข้างเคียง คืออาจทำให้เวียนศีรษะ และมองเห็นไม่ชัด
การติดอุปกรณ์กระตุ้นการทำงานของหัวใจ
นอกจากปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตควบคู่กับการใช้ยาแล้วก็อาจต้องใช้อุปกรณ์เพื่อกระตุ้นการทำงานหรือควบคุมจังหวะบีบ-คลายของกล้ามเนื้อหัวใจเพื่อให้เลือดสามารถไหลเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยผู้ป่วยจะได้รับยาสลบ และอุปกรณ์จะถูกติดไว้ใต้ผิวหนัง ผู้ป่วยจะต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลจนกว่าแพทย์จะมั่นใจว่าอุปกรณ์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ อุปกรณ์ที่แพทย์มักเลือกใช้มีดังนี้
-
เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemakers)
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอัตราการเต้นของหัวใจที่ช้ากว่าปกติ อุปกรณ์นี้จะช่วยกระตุ้นให้หัวใจเต้นได้ตามปกติด้วยการปล่อยกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ เป็นจังหวะไปที่หัวใจ ทั้งนี้ยังไม่พบว่าอุปกรณ์ก่อให้เกิดผลข้างเคียงอันตราย
-
เครื่องกระตุ้นหัวใจถาวร (Cardiac Resynchronisation Therapy)
ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจวายในระยะที่หัวใจห้องล่างซ้ายไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้แล้ว และส่งผลต่อการทำงานของหัวใจส่วนอื่น ๆ แพทย์จะพิจารณาติดอุปกรณ์ดังกล่าวให้ โดยอุปกรณ์จะช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
-
เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจ (Implantable Cardioverter Defibrillators)
หากแพทย์พบว่าผู้ป่วยมีอาการหรือมีความเสี่ยงหัวใจเต้นผิดจังหวะ แพทย์จะให้ผู้ป่วยติดอุปกรณ์ดังกล่าวเพื่อช่วยให้หัวใจเต้นได้ตามจังหวะปกติ การทำงานของอุปกรณ์ชนิดนี้คือ หากหัวใจเริ่มมีจังหวะการเต้นที่ผิดปกติมากเกินไป เครื่องจะปล่อยกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ออกมาเพื่อกระตุ้นหัวใจกลับมาเต้นตามปกติ
-
เครื่องกระตุ้น และกระตุกไฟฟ้าหัวใจ (CRT-Ds)
สำหรับผู้ป่วยหัวใจวายที่มีอัตราการเต้นของหัวใจที่ช้าและผิดปกติ แพทย์จะใช้อุปกรณ์นี้ในการกระตุ้นการทำงานของหัวใจให้ดีขึ้น โดยจะช่วยกระตุ้นการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ และปรับจังหวะการเต้นให้อยู่ในระดับปกติ
การผ่าตัด
ใช้ในผู้ป่วยรายที่แพทย์พิจารณาแล้วว่าการผ่าตัดเป็นวิธีการรักษาที่ได้ผลมากกว่า ซึ่งการรักษาภาวะหัวใจวายด้วยการผ่าตัดจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้หัวใจวาย โดยมีวิธีในการผ่าตัดดังนี้
-
การผ่าตัดลิ้นหัวใจ
หากสาเหตุมาจากความเสียหายที่ลิ้นหัวใจ แพทย์จะพิจารณาให้ทำการผ่าตัดลิ้นหัวใจ โดยการผ่าตัดแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ การผ่าตัดซ่อมแซมลิ้นหัวใจ และการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ ซึ่งในการการเลือกชนิดของการผ่าตัดนั้น แพทย์จะพิจารณาจากความเสียหาย และความรุนแรงของปัญหาของลิ้นหัวใจเป็นหลัก
-
การผ่าตัดขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน (Coronary Angioplasty)
เป็นการผ่าตัดรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยมุ่งเน้นไปที่การขยายหลอดเลือดที่ตีบหรืออุดตันให้เลือดสามารถไหลเวียนได้ดีขึ้น
-
การผ่าตัดบายพาสหัวใจ (Coronary Artery Bypass Graft: CABG)
เป็นการผ่าตัดรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยนำหลอดเลือดจากส่วนอื่นของร่างกายมาทำทางเบี่ยงให้หลอดเลือด เพื่อให้เลือดสามารถไหลเวียนไปที่หัวใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-
การผ่าตัดติดตั้งเครื่องช่วยสูบฉีดเลือด (Left Ventricular Assist Devices)
ในกรณีที่หัวใจห้องล่างซ้ายไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หรือการรักษาด้วยยาไม่ได้ผล แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยผ่าตัดเพื่อติดตั้งเครื่องช่วยสูบฉีดเลือด นอกจากนี้วิธีการผ่าตัดดังกล่าวยังใช้กับผู้ที่ไม่สามารถผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจได้ หรืออยู่ในระหว่างรอรับการปลูกถ่ายหัวใจ ทั้งนี้อุปกรณ์ดังกล่าวจะมีแบตเตอรีอยู่ภายนอก และมีสายที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ผิวหนัง
-
การผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจ (Heart Transplant)
ผู้ป่วยที่มีอาการหัวใจวายรุนแรง และการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ ให้ผลไม่เป็นที่น่าพึงพอใจหรือไม่ได้ผล แพทย์จะพิจารณาให้ผู้ป่วยผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจ ทว่าการผ่าตัดชนิดนี้ค่อนข้างซับซ้อน และมีความเสี่ยงสูง อีกทั้งยังต้องรอรับการบริจาคหัวใจจากผู้บริจาค ซึ่งอาจใช้เวลานับปีกว่าจะเจอหัวใจที่เข้ากับผู้ป่วยได้
ภาวะแทรกซ้อนของหัวใจวาย
ส่วนใหญ่ภาวะแทรกซ้อนจะเกิดขึ้นจากการที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงได้ทั่วร่างกาย ทำให้อวัยวะอื่นได้รับเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงไม่เพียงพอจนเกิดการเสื่อมสภาพ ดังนั้นตลอดระยะเวลาการรักษาแพทย์จะคอยติดตามอาการอย่างใกล้ชิด เพื่อที่แพทย์จะสามารถรักษาได้อย่างทันท่วงทีหากเกิดอาการอื่น ๆ ขึ้น โดยภาวะแทรกซ้อนที่มักพบได้ คือ
-
อาการอ่อนเพลียอย่างรุนแรง
เมื่อร่างกายสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะได้รับออกซิเจนลดลงจนทำให้อ่อนเพลียอย่างรุนแรงได้
-
ไตวาย
เมื่อไตไม่ได้รับเลือดและออกซิเจนอย่างเพียงพอ ไตก็จะเริ่มเสื่อม และอาจส่งผลให้ไตวายเรื้อรังได้ในเวลาต่อมา ผู้ป่วยจะต้องใช้วิธีการฟอกไตเข้าช่วย
-
โรคลิ้นหัวใจ
ลิ้นหัวใจมีหน้าที่ในการควบคุมการไหลเวียนของเลือดที่ผ่านหัวใจ แต่เมื่อหัวใจวาย ก็จะทำให้มีอาการหัวใจโต หรือหัวใจเกิดแรงดันภายในมากขึ้น จนลิ้นหัวใจไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดความเสียหายหรือเสื่อมสภาพตามมาในที่สุด
-
หัวใจเต้นผิดจังหวะ
พบได้ในผู้ป่วยหัวใจวาย เพราะเมื่อกล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติ ก็จะส่งผลต่อการเต้นของหัวใจได้
-
ตับเสียหาย
เมื่อหัวใจวาย ร่างกายจะเกิดการสะสมของเหลวมากขึ้นทำให้ตับทำงานผิดปกติ และเกิดความเสียหายได้
ภาวะหัวใจวายส่งกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่อยู่ในระยะรุนแรง จะไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ และถ้าหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ก็อาจนำมาสู่การเสียชีวิตได้เช่นกัน
การป้องกันหัวใจวาย
การปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต เป็นหนึ่งในวิธีสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงภาวะหัวใจวาย ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ยังควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินเกณฑ์ และควบคุมความเครียด
นอกจากนี้ หากผู้ป่วยมีโรคประจำตัว เช่น โรคหลอดเลือด โรคเบาหวาน หรือโรคความดันโลหิตสูง ก็ควรรับประทานยาและควบคุมอาหารตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ก็จะช่วยลดความเสี่ยงหัวใจวายได้เช่นกัน